รีวิว Elvis เอลวิส – ภาพยนตร์แนวมิวสิคัล/ชีวิต ปี 2022
หนังแนวชีวประวัติของศิลปินระดับตำนาน เอลวิส เพรสลีย์ ในเรื่อง Elvis (2022 imdb) จากผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ หอบเอาแนวคิดสร้างสรรค์มาละเลงวาดลวดลายเล่าเรื่องราวชีวิตของตำนานเพลงที่ได้ชื่อว่า ราชาแห่งร็อกแอนด์โรล นี่คือการตีแผ่ช่วงชีวิตของเขานับตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปถึงปลายทาง ออกมาเป็นหนังดราม่าคลุกเคล้าเพลงและผสมช่วงยุคสมัยที่สำคัญเอาไว้ได้อย่างแยลยล หากคุณเป็นคนชอบหา ดูหนังใหม่ สามารถไปติดตามรับชม หนังสยองขวัญ ได้ที่นี่เลย nungmai2day
นี่คือตำนานของ เอลวิส เพรสลีย์ ผ่านมิติความสัมพันธ์แสนซับซ้อนกับผู้จัดการนิสัยลึกลับ ผู้พัน ทอม ปาร์คเกอร์ Elvis เรื่องย่อ เรื่องราวจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง เพรสลีย์ และปาร์คเกอร์ ตลอดเวลา 20 ปี ตั้งแต่ เพรสลีย์ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงตอนที่มีแฟนคลับล้นหลามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่ามกลางพื้นเพเบื้องหลังของวัฒนธรรมที่กำลังพัฒนาและการสูญเสียความไร้เดียงสาในอเมริกา ในขณะเดียวกันก็มีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตของ เอลวิส อย่างมาก นั่นก็คือ พริสซิลลา เพรสลีย์
ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า โดยส่วนตัวผู้เขียนเป็นแฟนหนังของผู้กำกับท่านนี้มาตั้งแต่สมัย Strictly Ballroom หรือ Romeo + Juliet และเคยดูผลงานของนักสร้างหนังชาวออสเตรเลียผู้นี้มาแทบจะทุกเรื่อง และนี่คือการกลับมาของเขาอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่ The Great Gatsby ในปี 2013 จึงทำให้รู้สึกตื่นเต้นเบา ๆ เมื่อจะได้เข้าไปสัมผัสผลงานของผู้กำกับคนโปรดปราน และผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ถือว่ายังทำและถ่ายทอดออกมาได้เข้าขั้นดีงาม
ด้วยวิสัยทัศน์ของ บาซ เลอห์มานน์ ขอให้ไว้ใจได้เลย เมื่อเขาต้องมาหยิบจับทำหนังที่องค์ประกอบของเพลงเข้ามาร่วมด้วย แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยทำหนังชีวประวัติเรื่องไหนมาก่อนก็ตาม แต่ได้มีโอกาสมาหยิบคว้าเรื่องราวของราชาเพลง เอลวิส เพรสลีย์ เลยในครั้งนี้ แน่นอนว่าน่าจะต้องเครียดและวางแผนงานสเกลที่ยิ่งใหญ่ไม่เบา และทุก ๆ อณูที่หนังถ่ายทอดออกมานั้น ก็สัมผัสได้ถึงความละเอียดในองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่เข้ามาในหนังที่มีความยาว 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เรื่องนี้
องค์ประกอบฉาก, องค์ประกอบศิลป์, ดีไซน์บท เพลงเอลวิส มันๆ หรือจะงานตัดต่อ ล้วนแต่เป็นองค์ที่ไว้วางใจ บาซ เลอห์มานน์ ผู้นี้ได้ และเรื่องนี้เขาก็ยังคงไว้ด้วยสไตล์และลายเส้นเฉพาะตัวของเขาเองเอาไว้ได้ทุกอณูของหนัง ความจัดจ้านในการตัดต่อและเล่าเรื่องยังบ่งบอกในความเป็นเลอห์มานน์โดยแท้ และความลื่นไหลต่าง ๆ แสดงออกให้เห็นถึงแนวทางที่ถนัดของแต่ละคน เมื่อหนังมาอยู่ในมือของคนที่คู่ควร มันก็จะแจ่มวาวอะไรประมาณนี้
แม้ว่า บาซ เลอห์มานน์ จะสามารถทำให้ Elvis ออกมาให้รสชาติจัดจ้านและอิ่มเอมดีตามมาตรฐานแล้ว แต่ถ้าหากเป็นในความคิดเห็นส่วนตัวนั้น กลับรู้สึกค่อนข้างเอียนกับเทคนิคและลูกเล่นเดิม ๆ ของนักสร้างหนังผู้นี้อย่างน่าประหลาดใจ กลายเป็นว่าเมื่อมาดูองก์โดยรวมแล้ว กลับรู้สึกว่า Elvis มีความเลี่ยนในลายเส้นเก่า ๆ ของเลอห์แมนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงมันจะเป็นองค์ประกอบฉูดฉาดที่เร้าใจและน่าตื่นตา ไม่รู้ทำไมเช่นกันที่มีอีกความรู้สึกว่า ไม่มีอะไรใหม่จากผู้กำกับผู้นี้ออกมาในหนังเรื่องนี้เลย (พูดจากใจในฐานะแฟนคลับตัวยง)
ทางด้านการแสดงของหนังเรื่องนี้บ้าง กล้าพูดได้เล่นว่า ‘เริ่ด’ ถึงตัวหนังจะโฟกัสและเน้นความสำคัญหลัก ๆ แค่เพียง 2 ตัวละครของ “ออสติน บัตเลอร์” กับ “ทอม แฮงก์ส” แต่การผนึกกำลังของทั้งสองคนนี้ ก็ช่วยประคับประคองหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ ออสติน บัตเลอร์ ที่มอบการแสดง ที่ค่อนข้างน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย อาจจะเพราะการแปลงโฉมให้คล้ายกับตัวจริงด้วยส่วนหนึ่ง แต่อินเนอร์ต่าง ๆ ของเขาก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกคล้ายตามและเชื่อไปอย่างหมดใจแล้วว่า เขาคือเอลวิส
การดีไซน์การแสดง ไม่ว่าจะเป็นท่าทางและน้ำเสียงการพูดต่าง ๆ เจ้าหนุ่มออสตินถือว่าทำการบ้านมาดี Elvis Presley นักแสดง เขาอาจจะไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ เพราะจริง ๆ เขาก็สั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านงานแสดงมาก็พอประมาณ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาถูกเลือกให้มาเป็นนักแสดงนำที่โดดเด่นที่สุด และเขาก็สามารถแบกรับหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง และไม่อาจจะทำให้ผู้ชมละสายไปได้เลย เพราะการเหลาคมความหล่อแบบเดียวกับต้นฉบับ เอลวิส เพรสลีย์ มาเอง
ในขณะที่ ทอม แฮงก์ส คนนี้ไม่ต้องเปล่งวาจาอะไรเยอะ นี่อาจจะเป็นงานแสดงระดับง่ายแบบปอกกล้วยเข้าปากเขาเท่านั้น เพราะเราก็เคยเห็นอะไรแบบนี้จากเขามาก่อนแล้ว แต่เขาสามารถดีไซน์การแสดงออกมาให้รู้สึกไม่จำเจกับบทที่ตัวเองเคยเล่นมาแล้ว ผนวกกับการแปลงโฉมทั้งตัว เพื่อให้เข้ากับบทบาท จึงเป็น อีกตัวละคนหนึ่งที่ผู้ชมจะรู้สึกเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างทาง แม้ว่าความซับซ้อนและมิติของตัวละคร ที่หนังถ่ายทอดออกมายังค่อนข้างแบนไปสักหน่อย
แน่นอนว่าจะไม่พูดถึงเรื่องเพลงก็คงจะไม่ได้ คือสารภาพตรง ๆ ว่าผู้เขียนก็ไม่ได้เป็นแฟนเพลง เอลวิส เพรสลีย์ อะไรเลย แต่เชื่อเถอะว่าหลาย ๆ บทเพลงที่รีมิกซ์ใส่เข้ามาประกอบในหนังเรื่องนี้ หลายคนจะต้องร้องอ๋อตามไปตลอดทาง หยิบเอาเพลงคลาสสิกมากมายของเอลวิสมาประยุกต์ใหม่ที่เสนาะหูและเข้ากับ ยุคสมัยมาก ๆ แม้ว่าจะใช้เทคนิคมิกซ์เพลงคล้าย ๆ กับผลงานเรื่องก่อนของเลอห์มานน์มากไปหน่อยก็ตาม
และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ต้องเอ่ยถึงก็คือ เทนิคการแต่งหน้า-ทำผมและคอสตูมดีไซน์ ที่ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญของ Elvis เลยทีเดียว การแต่งหน้า-ทำผมโดดเด่นมาก โดยเฉพาะการแปลงโฉมให้กับออสตินในการเป็นเอลวิสในแต่ละยุค ที่ค่อน ๆ ใส่รายละเอียดแทรกเขาไปได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ เรื่องถึงกับต้องฉุกคิดตามไปว่า นี่หนังหยิบเอาฟุตเทจจริง ๆ มาตัดต่อสลับไปมาด้วยหรือไม่ เพราะเกือบจะแยกไม่ออกแล้ว
นี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็ว Pacing ในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม
ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆ
แต่หัวใจสำคัญจริง ๆ ของ Elvis ก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย 31 ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง
ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัว
ส่วนองค์ประกอบงานออกแบบเสื้อผ้าของหนังเรื่องนี้ ต้องยกนิ้วให้จริง ๆ เพราะทีมงานสร้างเก็บรายละเอียดแทบจะทุกระเบียบนิ้วในยุคนั้นเอามาใส่ไว้ได้เป๊ะ ๆ ไม่ขัดตา แน่นอนว่าองค์ประกอบนี้ถือว่าเป็นอีกไฮไลต์เด็ดของหนังเลอห์มานน์ในทุก ๆ เรื่อง และ Elvis ก็ถือว่าสอบผ่านในองค์ประกอบงานสร้างหลาย ๆ ด้านที่บรรจงสร้างออกมา
โดยภาพรวมแล้วนั้น Elvis ก็ถือว่าเป็นหนังชีวประวัติตำนานเพลงที่ทำออกมาได้ค่อนข้างกล่อมกลม ช่วงปูเรื่องตอนแรก ๆ เล่าเรื่องได้กระชับติดสปีดทีเดียว แม้ว่าจะมาย้วยนิดหน่อยในช่วงกลาง ๆ แต่ก็สามารถปิดองก์ท้ายของเรื่องได้อย่างทรงพลังกับความดราม่าที่เพิ่มลำดับขึ้นเรื่อย ๆ บทหนังเรื่องนี้อาจจะยังไม่กลมกล่อมมากนัก แต่ก็นับได้ว่าเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ในชีวิตเอลวิส ผนวกเข้ากับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในช่วงชีวิตเขาเอาไว้ได้ค่อนข้างดี หากสนใจหนังแนวสยองขวัญเหนือธรรมชาติ สามารถไปติดตามรับชมหนังได้ทาง รีวิว Prey for the Devil สวดส่งไปลงนรก
ประเภท: ดราม่า / เพลง
ผู้กำกับ: บาซ เลอห์มานน์
นำแสดงโดย: ออสติน บัตเลอร์, ทอม แฮงก์ส
ความยาว: 159 นาที
กำหนดฉายในไทย: 23 มิถุนายน 2022