รีวิวหนัง Smile ยิ้มสยอง – หนังสยองขวัญ/ลึกลับ ของผู้กำกับ Parker Finn
สวัสดีคอ หนังสยองขวัญ ทุกคนทุกท่านด้วยนะครับ วันนี้ nungmai2day กำลังจะพาทุกคนไปพบกับภาพยนตร์สุดหลอน ที่มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ เตรียมส่งสัญญาณความหลอนไปกับหนังที่มีรอยยิ้มที่สยดสยองเขย่าขวัญ เรื่อง Smile ยิ้มสยอง (2022) จากผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ (Parker Finn) บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่น่าไว้วางใจ ความน่ากลัวที่แฝงไปในภายใต้รอยยิ้ม ที่จะมาเปลี่ยนมุมมองของผู้ชมต่อรอยยิ้มสง่าไปตลอดกาล นี่คือผลงานเดบิวต์หนังใหญ่เรื่องแรกของ “พาร์คเกอร์ ฟินน์” นักสร้างหนังหนุ่มเจนใหม่ที่มีประสบการณ์การทำงานหนังสั้นและอยู่เบื้องหลังโปรเจกต์อื่น ๆ มาได้สัก 4-5 ปี บัดนี้เขาก็ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ในการปลุกปั้นหนังเขย่าขวัญจากไอเดียและแนวคิดของตัวเอง ด้วยการหยิบเอากิริยาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากลั่นกรองออกมาเป็นหนังสยองขวัญและน่าสะพรึงกลัว เรื่องราวจะเป็นอย่างไร อย่าลืมไปติดตาม ดูหนังใหม่ เรื่อง Smile ยิ้มสยอง กันได้ที่ doonungonline
Smile รีวิว หนังสยองขวัญระทึกขวัญของปี 2022 นี้ที่เราชอบเกินคาดมากและน่าจะติดอยู่ในใจอย่างแน่ ๆ ช่วงนี้เราได้ดูหนังสยองขวัญในโรงหลายเรื่องที่ไม่โดนเท่าไร อย่างเช่นจะมีบางเรื่องที่ดี แต่บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัว หรือบางเรื่องบรรยากาศที่มีน่ากลัวมาก แต่เรื่องก็จะยังทำออกมาได้ไม่ดีนัก ซึ่งเรื่องนี้เราว่าภาพรวมของหนังทั้งในเรื่องของตัวบทและบรรยากาศหนัง สามารถทำออกมาได้ลงตัวเลยทีเดียว
โดยหนังเรื่องนี้ได้ไปคว้ารางวัล Special Jury Recognition Prize จากสายการประกวด Midnight Short Award จากเทศกาลหนัง SXSW Film Festival 2020 และคว้ารางวัลจาก Fantastic Fest 2022 งานประกวดหนังสายแปลกมาก่อนหน้านี้ด้วย จนในที่สุด ฟินน์ก็ได้มีโอกาสนำเอาหนังสั้นเรื่องนี้มาพัฒนาต่อกลายเป็นหนังยาว โดยตอนแรกตัวหนังเรื่องนี้เกือบจะได้กลายเป็นหนังออริจินัลบนสตรีมมิง Paramount+ แต่ด้วยความที่ตอนฉายรอบ Test Screening กระแสกลุ่มคนดูค่อนไปทางบวก ผู้บริหารก็เลยไฟเขียวให้พัฒนาต่อไปเป็นหนังฉายโรงแทนอย่างที่เห็นกัน
smile เรื่องย่อ เล่าเรื่องหลังจากที่ผ่านพบเห็นกับอุบัติเหตุสุดประหลาดและสะเทือนใจที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยของตัวเอง ดร.โรส คอตเตอร์ ก็เริ่มพบว่าตัวเองประสบพบกับความน่ากลัวอะไรบางอย่างที่เธอก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เธอต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่หนักอึ้ง พร้อมกับแบกจิตใจของตัวเองหลีกหนีออกมาจากความจริงในปัจจุบันที่่ยิ่งน่าสะพรึงมากกว่า ภายใต้รอยยิ้ม..สยองนั้น
แม้ว่าคอนเซ็ปต์และไอเดียของ Smile ยิ้มสยอง จะค่อนข้างดูแล้วเวิร์กก็ตาม แต่เมื่อลองมาสัมผัสเนื้อหาและเนื้อในจากในตัวหนังทั้งเรื่องนั้น ยังพบว่าหนังยังมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะการใส่ใจเรื่องน้ำหนักของแกนเรื่อง ที่น่าเสียดายที่หนังเกือบจะทำออกมาได้ดีใช้ได้แล้ว แต่น้ำหนักในองค์ประกอบหลักต่าง ๆ ยังค่อยข้างเบาโหวงไปสักหน่อย จึงทำให้แกนความดราม่าและความสยองต่าง ๆ เหมือนยังเล่นได้ไม่สุดทางเสียทีเดียว
ชอบมากที่หนังสามารถบาลานซ์ความสยองขวัญได้อย่างดี คือถ้าว่ากันตามจริง มันก็คือหนังสยองขวัญ Jump Scare หรือหนังผีสไตล์ตุ้งแช่ แต่หนังใส่ความตุ้งแช่ได้อย่างพอดิบพอดีแบบไม่พร่ำเพรื่อจนเกินไป มีจังหวะการใส่ความสยองได้ถูกที่ถูกทางและคาดเดาได้ยาก อีกทั้งหนังก็สามารถเน้นขับเคลื่อนบรรยากาศความหลอกหลอน น่ากลัว ความไม่ไว้วางใจ อีกทั้งมันก็เล่นกับรอมยิ้มอันสยดสยองได้ชวนฝังหัวฝังใจอย่างมาก เราที่ดูจบแล้วก็แอบกลัวรอยยิ้มมาก ๆ
ปมต่าง ๆ ของ Smile ยิ้มสยอง ที่ใส่เข้ามาได้อย่างมีนัยยะ แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการขยี้ได้อย่างถึงกึ๋น เพราะเมื่อมาถึงช่วงท้ายเรื่องที่เกือบจะเป็นองก์ที่สะเปะสะปะและใกล้จะออกทะเล เพราะหนังพยายามมองหาทางลงให้สวยงาม แต่หารู้ไม่ว่าคนดูก็น่าจะคาดเดาถึงบทสรุปกันได้อยู่แล้ว หนังยังค่อนข้างทำบทสรุปต่าง ๆ เอาไว้ได้ไม่ค่อยตรึงตาตรึงใจสักเท่าไหร่ เป็นการคลี่ปมเอาไว้แบบกล้าได้กล้าเสีย ที่ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นปมที่คลายได้ไม่ถึงแก่น
ส่วนทางพาร์ทการแสดงนั้น smile เต็มเรื่อง พากย์ไทย ต้องบอกว่าหนังไม่ได้ใช้บริการนักแสดงแถวหน้าสักเท่าไหร่ นำทีมมาโดย “โซซี่ เบคอน” ที่ถือว่ารับหน้าที่แบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ทั้งเรื่องเกือบจะคนเดียว และการแสดงของเธอก็ถือว่าน่าพอใจ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกว้าวและตื่นตาตกใจอะไรสักเท่าไหร่ แต่ทั้งซีนหลอนและซีนอารมณ์ต่าง ๆ ของเธอ ก็ถือว่าทำออกมาได้คล่องแคล่วและพยายามทำให้คนดูเชื่อจริง ๆ กับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่
อีกความเจ๋งของตัวหนังก็คือ การสร้างบรรยากาศสยองขวัญแบบไต่ระดับได้ดีเกินคาดเลยครับ แม้ว่าตัวหนังเองจะใช้มุก Jump Scare ตามสูตรสำเร็จหนังสยองขวัญทั่วไปนั่นแหละ และยอมรับว่าผู้เขียนเองแอบจิ๊ปากตอนเห็น Jump Scare แรกในหนังที่ชวนให้เผลอคิดไปว่า มันจะเป็นหนังสยองขวัญห่วย ๆ ที่ชอบ Jump Scare พร่ำเพรื่อหรือเปล่า (วะเนี่ย) แต่พอดูไปผู้เขียนถึงรู้สึกว่าจริง ๆ แล้ว อีตาผู้กำกับนี่ขี้แกล้งชะมัดเลย รวมทั้งการปูบรรยากาศสยอง ความไม่น่าไว้วางใจ (ว่าใครจะยิ้มเป็นรายถัดไป) การเล่นกับความมืด และฉากโหดสยองสุดเขตเรต R ที่กระซวกกันแบบจะ ๆ ทำให้กลายเป็น Jump Scare จังหวะนรกทีเล่นทีจริง ที่เล่นงานคนดูให้เสียวสะดุ้งสันหลังวาบได้ตลอดทั้งเรื่อง แม้จะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าโดนแกล้งก็ตาม
ส่วนอีกอย่างที่น่าประทับใจคือนอกจากมันจะเป็นหนังสยองขวัญที่มาด้วยโทนน่ากลัวและความตุ้งแช่ใด ๆ หนังก็เคลือบไปด้วยประเด็นความสัมพันธ์ของคนรอบตัวของตัวละครหลัก การพาไปสำรวจปมในใจที่ฝังใจมาตั้งแต่วัยเด็ก ความโศกเศร้าเสียใจ ทั้งหมดที่เสมือนเป็นตัวแทนของปรากฎการณ์ที่ตัวละครได้เผชิญกับสิ่งลึกลับอยู่ ซึ่งหนังก็เล่าควบคู่ไปกับเรื่องราวหลักและความสยองขวัญได้เข้ากันลงตัว และช่วงท้ายมันก็หาทางสรุปปมของตัวละครนี้ลงได้อย่างน่าพอใจเลยทีเดียว
แม้ว่าไอเดียของหนังจะน่าสนใจ และการดำเนินเรื่องก็ถือว่าทำออกมาได้ไหลลื่นดูสนุกได้แม้ว่าจะยาวเกือบ 2 ชั่วโมง องก์แรกนำเรื่องด้วยจังหวะสยองขวัญทริลเลอร์โหด ๆ กลายเป็นหนังสืบสวนสอบสวนในองก์ที่สอง และผลักไปเป็นหนังสยองขวัญเต็มตัวในองก์สุดท้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตัวหนังก็ดูจะมีปัญหาใหญ่น่าคิดก็คือ เมื่อถอยออกมาดูไกล ๆ จะพบว่า จริง ๆ แล้วตัวหนังก็ถือว่าอยู่ในรูปสูตรสำเร็จหนังแนวต้องคำสาปนะครับ แม้ว่าตัวหนังจะพยายามเล่าและวางรูปแบบวิธีการแบบหนังสยองขวัญอาร์ต ๆ เฮี้ยน ๆ แต่ด้วยรายละเอียดนั้นเอาเข้าจริงก็ยังไม่ได้ถึงกับลึกซึ้งชวนให้ตีความหรือคิดต่อหลังดูจบ และเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นหนังแมสที่ดูง่าย เชื่อมโยงเรื่องง่าย
ปัญหาใหญ่อีกจุดที่สำคัญคือ ตัวหนังดูจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับการให้รายละเอียดกับแก่นของเรื่อง และ Conflict ที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากนัก ก็เลยทำให้การเล่าเรื่องหลาย ๆ จุดดูเหมือนจะกั๊ก ๆ และมันก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ตัวหนังเหมือนจะเล่าไปได้ไม่สุด รายละเอียด ปมดราม่าของตัวโรสเอง อีกทั้งสัญญะและรายละเอียดเบี้ยบ้ายรายทางที่ควรจะนำมาขยี้และส่งต่อเพื่อปูเรื่องให้เคลียร์ว่า ไอ้คำสาปยิ้มสยองเนี่ย แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ และโรสน่าจะจัดการกับมันยังไงได้บ้าง ก็ยังไม่ได้รับการอธิบายคลายปมไว้มากพอ ส่งผลให้คนดูเองก็เข้าไม่ถึงปมของเรื่อง และเข้าใจ อยากเอาใจช่วยโรสได้ ยิ่งพอลากไปถึงฉากไคลแมกซ์เพื่อจะขมวดปมบทสรุปในองก์ที่สาม ก็ยิ่งพาให้เหวอจนงงหนักไปใหญ่ว่า ตกลงพี่จะเอาอาร์ต เอาดราม่า หรือจะอะไรครับเนี่ย ซึ่งหลายคนก็อาจไม่ชอบและไม่ซื้อบทสรุปแบบอย่างที่หนังเลือกจะเป็นไปเลยก็ได้
ต้องยอมรับว่าไอเดียของ Smile ยิ้มสยอง ค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว แต่หนังยังค่อนข้างกระท่อนกระแท่นในส่วนของการเล่าเรื่องไปสักหน่อย ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจและอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ตลอดทาง ช่วงแรก ๆ หนังทำการปูเรื่องค่อนข้างนานไปหน่อย กว่าจะมาเข้าเส้นเรื่องในองก์ต่อไป อารมณ์ของผู้ชมก็เกือบเตลิดไปแล้ว และจุดต่าง ๆ ของหนังก็ใส่เข้ามาตามสูตร แค่ดูไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถจับทางและคาดเดาทิศทางของหนังได้ไม่ยากเท่าไหร่ ส่วนในแง่การแสดง อันนี้ก็ต้องพูดถึง โซซี เบคอน (Sosie Bacon) เป็นหลักนะครับ เพราะแทบจะเป็นตัวละครเดียวที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้
รวมทั้งการที่ตัวหนังไม่มีนักแสดงแม่เหล็กเลย แต่การแสดงของเธอก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียวแหละ โดยเฉพาะสภาวะสติแตกของเธอที่ค่อย ๆ เผยตัวออกมาเรื่อย ๆ และถ้าสังเกตดี ๆ ท่าทางของเธอก็ดูจะบ่งชี้ถึงอาการทางจิตที่ผู้เขียนเล่าไปตอนต้นได้ด้วย แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับเป็นบทบาทที่น่าจดจำ แต่ก็ถือว่าทำได้ไม่ผิดหวัง
โดยสรุปแล้ว Smile ยิ้มสยอง ก็เป็นหนังสยองขวัญที่มีไอเดียค่อนข้างน่าสนใจ แต่ยังไม่สามารถขยี้จุดต่าง ๆ ได้เร้าถึงใจถึงอารมณ์ได้สักเท่าไหร่ สูตรสำเร็จต่าง ๆ ถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ แต่นับว่ายังดีที่มีไอเดียและลูกเล่นของมือใหม่สร้างหนังเข้ามาสร้างสีสันให้ตัวหนังแบบรายทางอยู่บ้าง ทั้งงานภาพและงานเพลงประกอบที่ถือว่าหนังเรื่องนี้ดีไซน์ออกมาได้แปลกแตกต่างอย่างน่าสนใจ แต่การเล่าเรื่องของหนังยังไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร และความกล้าได้กล้าเสียของหนังที่หยิบนำมาใช้นั้น กลับบั่นทอนทำให้รอยยิ้มนี้ยังไม่ค่อนเป็นที่จดจำในใจผู้คนได้มากนัก
ประเภท: สยองขวัญ
ผู้กำกับ: พาร์คเกอร์ ฟินน์
นำแสดงโดย: โซซี่ เบคอน, ไคล์ กัลเนอร์, เจสซี่ ที. อัชเชอร์
ความยาว: 115 นาที
กำหนดฉายในไทย: 29 กันยายน 2022
เตรียบพบกับความเกรียนและความฉบหายวายป่วง แฮร์เรลสัน และ เควิน ฮาร์ท ได้ที่นี่ รีวิวหนัง The Man From Toronto ชายจากโตรอนโต