รีวิว Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี | เรื่องราวของการแสวงหาความยุติธรรม

ซีรีส์เกาหลีดราม่าการเมืองฟาดฟันกันขั้นสุด เรื่อง Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี (2023) นำทัพโดย สองตัวแม่สายรางวัล คิมฮีแอ และ มุนโซรี พวกเธอพร้อมบดขยี้ศัตรูในศึกชิงเก้าอี้ผู้นำอันร้อนระอุ ดุเดือดทะลุทุกหย่อมหญ้า เตรียมนับถอยหลังสู่สงครามชี้ชะตาครั้งสำคัญ เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีชนิดกินกันไม่ลง

• ชื่อเรื่อง : Queen Maker | 퀸 메이커 | ฉันจะปั้นราชินี
• แนว : ดราม่า
• ผู้กำกับ : โอจินซอก (ผลงานก่อนหน้า กำกับซีรีส์ Love with Flaws)
• คนเขียนบท : มุนจียอง (ผลงานก่อนหน้า เขียนบทซีรีส์ Who Are You)
• ช่อง : Netflix
• จำนวนตอน : queenmaker ซับไทย 11 ตอน

Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี ผลงานซีรีส์เกาหลี Netflix Originals

ผลงานซีรีส์เกาหลี Netflix Originals ที่กำกับโดย โอจินซอก ที่เคยกำกับซีรีส์อย่าง ‘My First First Love วุ่นนัก รักแรก’, ‘My Sassy Girl’ และ ‘Love With Flaws’ ผ่านการเขียนบทของ มุนจียอง ที่เคยเขียนเรื่อง ‘Who Are You’ หนนี้ ไม่ใช่ซีรีส์แนวรอมคอมอะไรอีกแล้ว แต่เป็นแนวจริงจังที่ตีแผ่แวดวงการเมืองในช่วงหาเสียง หยิบเอาการฟาดฟันของผู้ร่วมชิงชัยตำแหน่งสำคัญของเมืองหลวง ที่มีทุกรูปแบบ พร้อมด้วยกลุ่มนักแสดงชาวเกาหลีชุดใหญ่ เพราะฉะนั้น หากคุณกำลังตั้งคำถามว่า queenmaker สนุกไหม ก็ต้องขอยืนยันเลยว่าไม่ดูแล้วจะเสียใจ

แนะนำเหล่านักแสดงหลัก Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี

คิมฮีแอ รับบทเป็น ฮวังโดฮี ผู้เชี่ยวชาญด้านให้คำปรึกษาภาพลักษณ์ผู้บริหารองค์กร PI (President Identity) ที่ทะลุทะลวงเข้าไปในโลกของชนชั้นสูงอย่างคมมีด ในโลกที่ท้าท้ายในการจัดการภาพลักษณ์ผู้บริหารระดับสูงและยกระดับมูลค่าบริษัท เธอเป็นผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ให้กับอึนซองกรุ๊ป กลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเกาหลี และวันหนึ่งเธอตัดสินใจที่จะปั้นทนายความสาวผู้ปล่อยตัวเพื่อดันให้ลงชิงชัยในเวทีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเพื่อแก้แค้นและทวงคืนความยุติธรรม

มุนโซรี รับบทเป็น โอคยองซุก ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ที่ไม่สามารถอยู่เฉยต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เธอเป็นตัวแทนส่งเสียงให้กับคนที่อ่อนแอ เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสตรี อีกทั้งยังเป็นยูทูปเบอร์ที่มีชื่อเสียง ด้วยความช่วยเหลือจากฮวังโดฮี ฮวังโดฮีได้มาเป็นผู้ผลักดันและปลุกปั้นให้โอซึงซุกกลายเป็นนายกเทศมนตรีกรุงโซล

รยูซูยอง รับบทเป็น แบคแจมิน ผู้ประกาศข่าวชื่อดังที่นั่งแท่นผู้ดำเนินรายการข่าวหลักมาหลายปีแล้วและคาดการณ์กันว่าเขาจะได้กลายเป็นผู้นำรุ่นต่อไป ซึ่งหลังจากได้ขึ้นนั่งตำแหน่งนายกเทศมนตรีประจำกรุงโซล เขาก็ต้องมาปะทะกับ ฮวังโดฮี และ โอซึงซุก

ซออีซุก รับบทเป็น ซนยองชิม หญิงสาวผู้ครองบัลลังก์สูงสุดแห่งอึนซองกรุ๊ป เธอตักตวงผลประโยชน์ด้วยเส้นสายของกลุ่มผู้มีอิทธิพลมาอย่างยาวนาน ทว่าการตัดหางหมารับใช้ผู้จงรักภักดีอย่างฮวังโดฮี กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ทำให้ตระกูลของเธอต้องพังพินาศในชั่วพริบตา

ซีรี่ย์เริ่มต้นด้วยเอาอะไรเบา ๆ และหนักหน่วงขึ้นช่วงหลัง ๆ

Queenmaker จ่าหน้าด้วยเนื้อหาการเมืองระดับชาติซึ่งกำลังเข้ากับสถานการณ์ในบ้านเราพอดิบพอดี ซีรีส์สร้างศูนย์กลางของเรื่องเอาไว้ที่ การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกรุงโซล ตำแหน่งทรงเกียรติที่กลุ่มแชบอลอย่าง อึนซองกรุ๊ป กำลังจ้องเขม็งตาเป็นมัน นั่นเพราะการส่งคนในตระกูลเข้าไปนั่งเก้าอี้บริหารเมืองหลวงคือหนทางเดียวที่ทำให้พวกเขากลายเป็นเสือนอนกิน สามารถใช้ประโยชน์จากกฎหมายเพื่อเสริมสร้างบารมีได้ตามใจชอบ กอบโกยความมั่งคั่งตามปรารถนา ทว่าอุปสรรคสำคัญกลับมาจากพนักงานผู้เป็นอดีตสุนัขรับใช้ในครอบครัวของพวกเขาเอง

เมื่อฉันจะปั้นราชินี วางเสาหลักเนื้อหาเอาไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ซีรีส์จึงเริ่มจุดชนวนระเบิดลูกใหญ่อย่างมรสุมความแค้นอันเป็นรสชาติที่ผู้ชมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ตัวละครหลักอย่างฮวังโดฮีต้องการทวงคืนศักดิ์ศรีผ่านเกมการเมืองโดยใช้ผู้หญิงอีกคนเป็นผู้ถืออาวุธ สิ่งที่น่าชื่นชมคือการสอดแทรกประเด็นทางสังคมเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น สิทธิมนุษยชนของแรงงาน สตรีนิยม ความเท่าเทียมทางเพศ การเคลื่อนไหวมีทู (#MeToo) ตลอดจนปัญหาในครอบครัว ถือเป็นการหยิบยกเหตุบ้านการเมืองมาคลุกเคล้ากับความบันเทิงได้เฉียบคมมากทีเดียว

บท การดำเนินเรื่อง อีกหนึ่งสิ่งที่ประทับใจของซีรีส์นี้

เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ดูวนซ้ำได้ไม่มีสะดุดและเรียกว่าเป็นการกลับมาของคุณแม่ของเราของจริงค่ะ ส่วนตัวรู้สึกชอบและประทับใจในบทส่วนของการดำเนินเนื้อเรื่องของการเมืองบ้านเค้า 90% แม้จะเป็นอะไรค่อนข้างใหม่แต่ไม่ได้ทำให้ดูยากเลยเหมือนเขาตั้งใจทำมาเพื่อให้ทุกคนดูได้บวกกับปมความดราม่าต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับทุกตัวละครไปหมดมันทำให้เราได้ลุ้นและอินไม่หยุด มันไม่ใช่ซีรีส์ที่ Deep แบบที่คิดในตอนแรกดูง่ายและส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ประเด็นหลัก ๆ คือการวางแผนพัฒนาองค์กรและจัดการฝั่งตรงข้าม

จัดการในที่นี้หมายถึงในรูปแบบของตัวแม่และดำเนินเรื่องตรง ๆ ตัวไม่มีเกริ่นอะไรทั้งสิ้นฟาดยับที่หมายถึงไม่ใช่ฟาดเฉย ๆ แต่เป็นการฟาดแบบมีชั้นเชิงและมีไหวพริบตั้งแต่ต้นจนจบ อีกหนึ่งความชอบของเนื้อเรื่องคือแผนแต่ละแผนของทีมนางเอกที่เรียกว่าเกือบทุกฉากเลยที่ทั้งสองคนใช้หัวสมองตลอดเวลามันทำให้คนดูได้เห็นถึงความเป็นมิติของเนื้อเรื่องด้วยเพราะแผนแต่ละแผนที่ทั้งสองคนคิดวิเคราะห์นี่เป็นการเจาะให้เห็นถึงดีเทลเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้ามแอบมีความใช้จิตวิทยาในเรื่องสอดแทรกอยู่ตลอด

Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี เป็นซีรีส์ที่เบาสมอง ที่สำคัญคือดูง่าย

เคมีในเรื่องของคุณแม่ทั้งสองอย่าง คิมฮีแอ และ มุนโซรี ถือว่าแข็งแรงยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นด้วยความที่ในเรื่องจะสอดแทรกฟิลลิ่งความเป็นเพื่อนหญิงพลังหญิงอยู่ในเนื้อเรื่องตลอดเราเลยจะได้เห็นโมเมนต์ของทั้งสองคอยช่วยเหลือกันและคอยสนับสนุนกันแบบส่งกันมาก ๆ แม้ในตอนแรกเราจะเห็นถึงความไม่ค่อยเข้ากันบางอย่างในตัวละครสองตัวนี้ที่มีความแตกต่างกันของภาพรวมหรือพูดตรง ๆ ก็คือต่างกันตั้งแต่ฝ่ายที่เลือกแล้วแต่แรกเลยดูจะเข้ากันไม่ได้ แต่ยิ่งผ่านมาเรื่อย ๆ เราจะได้เห็นถึงความพัฒนาของเคมีทั้งสองคนและถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นถึงความ sync สองตัวละครนี้มากขึ้น ๆ เหมือนค่อย ๆ ไล่ระดับความสัมพันธ์เลยจากคนที่ต่างอคติกันสู่มิตรที่เห็นใจกันและกัน เป็นสองตัวละครที่สำคัญและมีความเป็นมิติและน่าสนใจมาก ๆ

ฉากการจัดการความเน่าเฟะของเบื้องหลังคนใหญ่คนโต ที่นำทีมโดยนางเอกของเราด้วยฉากเซ็ท และนักแสดงมันทำให้เราขนลุกจนดูจบแล้ว ต้องตั้งคำถามเลยว่า ถ้าทุกประเทศมีเบื้องหลังการจัดการที่น่ากลัวแบบนี้เหมือนกันหมด มันก็คงจะเป็นอะไรที่แอบนึกไม่ถึงเพราะขนาดในซีรีส์ที่ทำออกมามันยังทำให้เราขนลุกจริงคือในตัวฉากนี้ทำให้เห็นถึงทุกขั้นทุกตอน อีกอย่างเหตุผลที่ชอบฉากนี้คืออีกหนึ่งภาษาภาพที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงความเหลื่อมล้ำของอำนาจที่พวกคนใหญ่คนโตในเรื่องต้องมาให้คนที่ตัวเองคิดว่าต่ำกว่าแอบตามเช็ดตามล้างแทบจะตลอดเวลามันสะท้อนให้เราเห็นถึงประเด็นนี้ในชีวิตจริงว่าเรื่องแบบนี้มันก็ยังคงมี reference ให้เสนอในสื่ออยู่

Queenmaker ฉันจะปั้นราชินี ไม่ใช่ซีรีส์การเมืองประเภทเคร่งเครียดจนเข้าถึงยาก เนื้อหาสาระผ่านการย่อยให้ดูง่าย มุ่งให้ผู้ชมสามารถเสพความบันเทิงเต็มอรรถรส ภายใต้ศูนย์กลางของเรื่องอย่างศึกชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี มีความแค้นของหญิงสาวเป็นเชื้อไฟเผาเกมโค่นอำนาจครั้งนี้ให้ทอดไหม้เป็นจุล สอดแทรกมุมมืดของสังคมผ่านสถานการณ์และบทสนทนาของตัวละครอย่างชาญฉลาด ฟาดความสนุกตื่นเต้นด้วยกลยุทธ์ชิงคะแนนนิยมระหว่างทาง ทุกอย่างที่เราคาดเดากลับพลิกแพลงได้ตลอดทุกวินาที ที่สำคัญยังรวมนักแสดงชั้นเซียนเพื่อเขียนประวัติศาสตร์อีกครั้ง เติมพลังให้คนในสังคมเชื่อว่าผู้หญิงก็สามารถขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดได้

บทพูดเยอะมาก ใครไม่ชอบแนวนี้อาจเบื่อไปเลย

ดูเหมือนซีรีส์จะเน้นเล่าเรื่องภายในตระกูลอึนเป็นพิเศษ ทำให้เรามองเห็นเบื้องหลังเบื้องลึกของผู้สมัครแพคแจมินมากหน่อย เอาง่าย ๆ เราได้รู้ถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายของเขา ทั้งมีเมียอย่างอึนแชรยองอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคบหากับเลขาคนสวย ฮันอีซึล (Han Chae Kyung/ฮันแชกยอง จากซีรีส์เรื่อง ‘Extraordinary You’) ก่อนที่คนต่อมาจะเป็น หัวหน้าทีมกุกจียอน (Ok Ja Yeon/อ๊กจายอน จากซีรีส์เรื่อง ‘Big Mouth’) ผู้ต้องการมาแทนที่ผู้จัดการฮวัง

เราต่างได้รับรู้ว่า เธอคือผู้หญิงอีกคนของประธานแพค และเมื่อประธานลงสมัคร หัวหน้าทีมกุกจึงก้าวเข้ามาอยู่ข้างกายเขา ก่อนที่วันหนึ่ง หน้าที่การวางแผนกลยุทธ์หาเสียงจะตกอยู่ในเงื้อมมือของ คาร์ล ยุน (Lee Kyoung Young/อีกยองยอง จากซีรีส์เรื่อง ‘Again My Life’) มือโปรที่ถูกดึงเข้ามาร่วมทีม เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังตำแหน่งประธานาธิบดีมาถึง 2 คน เล่ห์กลสุดร้ายกาจจึงถูกนำมาใช้เพื่อห้ำหั่นและแย่งชิงคะแนนเสียง

ด้านทนายโอผู้มีฉายาเป็นแรด และสู้ชนกับปัญหาสิทธิสตรีมาตลอด เธอดูจะมีภาษีน้อยสุดในบรรดาผู้ลงสมัครด้วยกัน แต่เธอก็ได้อดีตนักวางแผนกลยุทธ์ของฮวังโดฮีไปเป็นแนวร่วมสำคัญ พาเอาทีมสาว ๆ เข้าร่วมจนกลายเป็นทีมพลังหญิง นอกจากนั้น เธอก็ยังมีชายหนุ่มยุนดงจู (Ki Do Hoon/กีโดฮุน) คนที่เป็นลูกน้องสำนักงานทนายควายไปช่วยเหลือ

ผู้สมัครอีกคนที่จะหลงลืมไปไม่ได้ เธอคือ ซอมินจอง (Jin Kyung/จินกยอง จากซีรีส์เรื่อง ‘Dr. Romantic 2’) อีกหนึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง บ่าวรับใช้ประชาชน 3 สมัย เธอได้อดีตสามีของนางเอกเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ซอมินจองเป็นคนที่ได้เปรียบตั้งแต่ต้นมือ แต่ก็เป็นเป้าหมายแรกที่ฮวังโดฮีจะโค่นลง

แนะนำเว็บดูหนังออนไลน์ : ดูหนังใหม่
แนะนำเว็บรีวิวหนัง : ซีรีย์เกาหลี
แนะนำบทความรีวิวหนัง : To The Moon and Back