รีวิว Black Knight – หนังระทึกขวัญหลังวันสิ้นโลกเกาหลีใต้

พบกันอีกครั้งกับซีรีส์เกาหลีแนวไซไฟโลกหายนะ เป็นซีรีย์ที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันมากเท่าไหร่ แม้ว่าผู้เขียนจะเป็นคนที่ชอบหา ดูหนังใหม่ แต่ก็พึ่งได้ดูซีรีส์เรื่องนี้เมื่อไม่นานนี้เอง โดยจะเป็นเรื่องราวของโลกอนาคตดิสโทเปียโลกในปี 2071 ข้างหน้าหลังโลกล้มสลาย วันนี้เรา nungmai2day จะมาพูดถึงซีรีย์เกาหลี เรื่อง Black Knight 2023 ที่ได้ผู้กำกับและเขียนบทโดย โจอียซอก เจ้าของผลงานภาพยนตร์อย่าง Cold eyes และ The World of Silence ที่ดัดแปลงจากเว็บตูนชื่อเดียวของนักเขียน อียุนคยูน ซีรีส์ว่าด้วยเรื่องของโลกอนาคตข้างหน้าต้องแก่งแย่งอากาศเพื่อหายใจ เหล่าอัศวินที่เป็นความหวังของมวลมนุษยชาติ สามารถอ่านรีวิว ซีรีย์เกาหลี เรื่องอื่น ๆ ได้ที่นี่ nungmai2day

รีวิว Black Knight ซีรีส์เกาหลีแนวไซไฟโลกอนาคตเรื่องใหม่ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูน

Black Knight 2023 ซีรีส์เกาหลีแนวไซไฟโลกอนาคตเรื่องใหม่ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนดังนำแสดงโดย ‘คิมอูบิน’ เรื่องราวสุดเข้มข้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ดาวหางพุ่งชนโลกทำให้กรุงโซลเมืองหลวงที่มีแต่ความรุ่งเรืองกลายเป็นพื้นที่ที่มีแต่ทะเลทรายล้อมรอบไปหมดยิ่งทำให้เกิดการแก่งแย่งออกซิเจนเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตพร้อมกับแยกชั้นผู้คนออกเป็นหลายชั้นมีการสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอีกทั้ง black knight เรื่องย่อ เรื่องราวของกลุ่มคนส่งของที่ต้องทำหน้าที่ส่งออกซิเจนเพื่อไม่ให้เหล่า ‘Huter’ แย่งชิงไปได้ความมันส์จะไปสุดที่ตรงไหน เหล่าอัศวินดำ หรือ Black Knight คือคนส่งของของ CM Group หน้าที่ของพวกเขาคือนำออกซิเจนและสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิตไปส่งให้ผู้รับ โดยหลักใหญ่ใจความคือ ในเวลากลางวัน พวกเขาเป็นคนส่งของธรรมดา แต่ในเวลาค่ำคืน พวกเขาจะออกช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเดือดร้อน

นอกจากหลายๆคนจะรอดูบทบาทที่แปลกใหม่นี้ของ ‘คิมอูบิน’ ในเรื่อง black knight นักแสดง ก็ยังมีอีกหลายมากๆที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์กันสุดๆ ซึ่งบทบาทสำคัญในเรื่องอย่าง 5-8 คนส่งของในตำนานที่คิมอูบินรับบทนั้นถือว่าเป็นบทบาทที่ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดพอสมควร และ นอกจากเราจะได้เห็นการบู้สุดเท่ของเขาที่ทุ่มสุดตัวแทบจะทุกฉากในเรื่องเรายังจะได้เห็นในส่วนของบทและอารมณ์ของคาแรคเตอร์ที่ซับซ้อนแบบที่แฟนคลับของหนุ่มอูบินไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อนอีกทั้งยังจะได้เห็นฝีมือของนักแสดงท่านอื่นๆที่มีส่วนเสริมสร้างเรื่องราวให้สมบูรณ์และสนุกมากขึ้น

อย่าง ซงซึงฮอน อีซม และ คังยูซอก นักแสดงหลักอีกสามท่านที่ถือว่าเป็นสามบทบาทที่ต้องเล่นกันแบบคนละเวย์ไปเลย ยิ่งสถานการณ์ของตัวละครในเรื่องที่มีความแตกต่างกันในส่วนของบริบทด้วยยิ่งทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการสื่อสารบุคลิกและความต้องการของตัวละคร ยิ่งน้องใหม่อย่างหนุ่ม ยูซอก บทบาทหนุ่มน้อยสุดน่าเอ็นดูที่ตกสาวไปหลายคนก็ถือว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของเขาด้วยเหมือนกัน

รีวิว Black Knight ประเด็นหลักของซีรีส์

ประเด็นหลักที่ซีรีส์ black knight netflix บอกเล่าก็ไม่ต่างจากต้นฉบับเว็บตูนของนักเขียนอียุนคยุน โลกใบนี้จะมีคนเพียง 1% ที่ได้ครอบครองและมีอำนาจในการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด การยึดอำนาจนี้ไว้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เหล่า Black Knight ต้องการต่อต้าน และมอบความยุติธรรมคืนให้กับประชาชนทุกคน ซีรีส์เกาหลีเน้นย้ำประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมมาโดยตลอด ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ อย่างเช่น Parasite, Mr. Sunshine, Itaewon Class, Queen Maker จนคล้ายๆ เป็นท่าบังคับไปแล้วว่าเอกลักษณ์คอนเทนต์เกาหลีคือการสอดแทรกประเด็นความไม่เท่าเทียม

ความเหลื่อมล้ำที่คนมีเงินมีอำนาจเพียง 1% ที่ได้ถือครองทุกอย่าง และทำอย่างไรที่โลกจะกลับมาเท่าเทียมได้จริงเสียที เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เริ่มสูญพันธุ์ การกลายพันธุ์จึงเริ่มขึ้้นเป็นหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงแต่ไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวเลยว่าเราอยากรู้เรื่องนี้มากกว่านี้และคิดว่ามันน่าเล่ามากเลย black knight มีกี่ตอน แต่ก็เพราะจำนวนตอนที่น้อยการยัดประเด็นหลายประเด็นเข้ามามันน่าสนใจมากเลย ทว่ากลับเหมือนเป็นการทิ้งปมให้คนดู แม้จะไม่ได้ค้างคาอะไรนักแต่ก็ปลุกความอยากรู้ได้เป็นอย่างดี

แนะนำนักแสดงในซีรีย์เกาหลี Black Knight

คิมอูบิน รับบทเป็น 5-8 คนส่งของที่ใครๆเรียกเขาว่า 5-8 ชายผู้ลี้ภัยที่อยู่มานานและเรียนรู้ทั้งวิธีการต่อสู้และการเอาตัวรอดใต้ทะเลทรายมาอย่างเข้มงวด หน้าที่ของเขาคือการดูแลและขนส่งออกซิเจนเพื่อให้ผู้ลี้ภัยโดยนอกจากจะต้องดูแลความปลอดภัยให้ห่างจากพวก ‘Hunter’ ที่จะมาแย่งออกซิเจนไปยังต้องระวังพวกทายาทชอนมยองกรุ๊ปด้วย

ซงซึงฮอน รับบทเป็น รยูซอก ชายผู้ทรงอิทธิพลอีกทั้งยังเป็นทายาทของชอนมยองกรุ๊ปผู้ครอบครองออกซิเจนจำนวนมหาศาลเพื่อนำไปใช้ต่อรองเป็นอาวุธสำหรับการยึดอำนาจคนทั้งโลกที่ยังเหลืออยู่ เขาไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีใดในการยึดครองอำนาจแม้จะต้องทำร้ายผู้คนไปมากเท่าไหร่

อีซม รับบทเป็น ซอลอา ทหารสาวที่เก่งกาจในการต่อสู้และเป็นอีกหนึ่งคนที่คอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้คนในกลุ่มเขตทั่วไปเธอยึดมั่นถึงความปลอดภัยของคนอื่นอันดับแรก มีความเป็นผู้นำ และ มีความเข้มงวดของกฏในพื้นที่มาก

คังยูซอก รับบทเป็น ซาวอล เด็กหนุ่มที่มีความฝันที่จะทำหน้าที่เหมือนคนส่งของ 5-8 เขามักจะแอบออกจากเขตทั่วไปเพื่อไปเดิมพันกับเขตอื่นๆเพื่อฝึกสกิลการต่อสู้แต่เห็นแบบนั้นเส้นทางการจะเป็นแบบคนส่งของ 5-8 ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ตัวละครใน Black Knight มีเสน่และน่าค้นหามาก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวละครในเรื่องนี้มีเสน่มากทำเอาอยากรู้เรื่องราวของตัวละครเพิ่มมากขึ้น การเล่าเรื่องโดยรวมก็สนุกดี รวบรัดและตรงไปตรงมามีประเด็นแฝงอยู่บ้างประปราย ทำให้คาดหวังกับการมีซีซันถัดไปแต่ด้วยการจบที่ไม่ได้ทิ้งอะไรมากมายนัก ก็เหมือนตัดความหวังผู้ชมอย่างเราลงทันที ส่วนตัวมองว่าเรื่องราวที่น่าเล่าในเรื่องนี้มันมีเยอะ QR Code บนหลังมือของพลเมือง มองด้านหนึ่งก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่ามีตัวตนที่รัฐจะมอบชีวิตที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าการมี QR Code จะเป็นการการันตีถึงชีวิตที่ดีไปตลอดกาล

เพราะเจ้า QR Code เหล่านี้คือกับดักอย่างหนึ่งที่ทำให้ ซองมยองกรุ๊ป หรือ CM Group คล้ายๆ เป็นเจ้าของชีวิตเรา ควบคุม ติดตาม เก็บข้อมูลของเราทั้งหมดเอาไว้ในกำมือ และประเด็นของ CM Group ที่เป็นกลุ่มธุรกิจผูกขาดขนาดใหญ่ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะ CM Group ที่เราได้เห็นในซีรีส์ Black Knight มีอำนาจคล้ายๆ พระเจ้าเลยทีเดียว ด้วยการเป็นผู้ครอบครองออกซิเจน จึงมีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายและต่อรองกับทุกภาคส่วน ถ้าสังเกตดีๆ ในซีรีส์จะปรากฏโลโก้ CM อยู่เต็มไปหมด

ย้ำเตือนได้ว่านี่แหละคือผู้ทรงอิทธิพลและมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัฐบาล สะท้อนภาพการเมืองการปกครองในทุกวันนี้ได้ดี ว่าอำนาจ เส้นสาย และเงินทอง ยังคงแยกจากกันไม่ขาด หลักๆ ที่เห็นได้ชัดเลย คือองค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องที่จำลองสังคมโลกหายนะจากมลพิษที่เต็มไปฝุ่นดูปลอมมาก ภาพมุมกว้าง บ้านเมือง วิวทิวทัศน์ต่างๆ

เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นภาพ CG แบบที่วิดีโอเกมใช้กัน ซึ่งฉากแบบนี้ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งตลอดทั้งเรื่องจนลดทอนความน่าเชื่อถือ ดูเป็นผลงานทุนต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรเป็นมาก นอกจากนี้แล้วการบีบเนื้อเรื่องให้เหลืออยู่วงแคบ มีสถานที่ในเรื่องวนไปมาแค่ไม่กี่ฉาก ทำให้เรื่องดูน่าเบื่อ เพราะทั้งเรื่องเราจะได้เห็นแค่คนขับรถกลางฝุ่น ห้องโทรมๆ เมืองใต้ดินที่ดูสดใส แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่ามันเป็น CG ปลอมๆ อยู่ตลอดเวลา

รีวิว Black Knight

นอกจากนี้มันยังมีหลายจุดที่ทำให้นึกถึงหนังและซีรีส์หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อหาคนส่งของที่ได้บรรยากาศของหนังแนวเซอร์ไววัลอย่าง ‘The Hunger Game’ หรือกระทั่งซีรีส์เกาหลีแนวเกมหนีตายอย่าง ‘Alice in Borderland’ หรือกระทั่งมีฉากแข่งรถแบบไร้กติกาที่ทำให้อดนึกถึง ‘Death Race’ หนังแข่งรถดิสโทเปียของโรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) โน่นเลย แต่ถึงจะมีภาพเดจาวูของหนังไซไฟโผล่มาเป็นระยะ แกนกลางของบทหนังก็ยังว่าด้วยเรื่องชนชั้นและความไม่เท่าเทียมที่ดูเหมือนเกาหลีเองจะยิ่งโหมประเด็นนี้หนักข้อเข้าไปอีกหลังความสำเร็จของ ‘Parasite’

ซึ่งการนำมาใช้กับ ‘Black Knight’ เองก็ดูจะไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะหนังฮอลลีวูดเองก็เล่นประเด็นนี้อยู่แล้วเพียงแต่ปัญหาสำคัญของมันคือการที่เรื่องที่มันจะเล่าถูกเฉไฉออกทะเลไปไกลตั้งแต่ต้นเท่านั้นเอง กล่าวคือแม้มันจะมีพรีมิส (Premise) ง่าย ๆ คือจะเป็นอย่างไรหากโลกเกิดมลพิษและถูกผูกขาดอากาศหายใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่กลุ่มผู้อพยพต้องการอากาศหายใจอย่างเท่าเทียม

ซีรีส์กลับบริหารเวลาในการเล่าเรื่องทั้ง 6 ตอนด้วยการเพิ่มปมประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งการฆาตกรรมน้องสาวนายพลหน่วยข่าวกรอง การจัดประลองเพื่อหาคนส่งของหรือกระทั่งประเด็นที่น่าจะสำคัญอย่างการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของบางตัวละครที่ท้ายที่สุดซีรีส์ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันมากเท่าที่ควร แถมยังส่งผลให้ปมสำคัญทั้งความขัดแย้งระหว่างประธานบริษัทกับลูกชายที่ทำให้ฝ่ายหลังกลายเป็นเผด็จการบ้าอำนาจ หรือปมความแค้นของห้าแปดในอดีตที่กว่าจะได้บอกเล่าก็ปาไป 3-4 ตอนแล้ว มิหนำซ้ำปมเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่ซีรีส์เหมือนจะให้ความสำคัญอยู่ดี ๆ ก็หายไปจากเรื่องราวจนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไมอีกด้วย

ความรู้สึกหลังรับชม ซีรีย์เกาหลี Black Knight

Black Knight ซีรีส์ไซไฟแอ็กชัน พาเราเดินทางไปยังโลกอนาคตที่ไม่ไกลเกินคาดคิด เพราะด้วยสถานการณ์โลกร้อน รวมถึงมลพิษในอากาศที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ก็อาจเป็นไปได้ที่ชีวิตเราจะต้องสวมหน้ากากออกซิเจนกันจริงๆ และเช่นเดียวกัน การได้เข้าถึงทรัพยากรก็ยังคงเป็นคนกลุ่มเดียว ส่วนประชาชนที่เหลือก็เป็นเพียงฝุ่นผง เป็นเพียงฐานเสียงเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวนั้นในการมีสิทธิ์ยึดครองอำนาจต่อไปช่วงท้ายของซีรีส์เราจะได้เห็นชัดถึงประเด็นสังคมข้อนี้ และอาจนึกสะท้อนใจกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ที่เรา/ประชาชน ต่างตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ

และเราเองก็ยังไม่มี Black Knight หรือกลุ่มคนที่พร้อมลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกคืนความยุติธรรมอย่างเป็นทางการ ดังนั้นสิ่งที่ดูจะเป็นจุดที่แข็งแรงที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเสน่ห์ของนักแสดงทั้งหลายอย่างความหล่อของคิมอูบินที่ยอมรับเลยว่ามองเพลินมาก ๆ เป็นผู้ชายที่โครงหน้าและรูปร่างดีจนไม่แปลกใจที่ซีรีส์จะมอบบทฮีโรให้เขา หรือกระทั่งซงซึงฮอนที่มาเล่นบทร้ายก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความวิปริตและความบ้าอำนาจได้ชัดเจน ส่วนอีซมก็ยังเป็นอาหารตาให้หนุ่ม ๆ ได้อยู่แม้เรื่องนี้เธอจะปรากฎตัวในชุดทหารเป็นหลักก็ตาม

ชื่อเรื่อง : Black Knight 2023
แนว :ไซไฟ I โลกอนาคต I แอ็กชั่น
จำนวนตอน : 6 ตอนจบ

ติดตามอ่าน รีวิวหนัง Smile ยิ้มสยอง เรื่องราวความน่ากลัวที่แฝงไปในภายใต้รอยยิ้ม ที่จะมาเปลี่ยนมุมมองของผู้ชมต่อรอยยิ้มไปตลอดกาล ได้ที่นี่